Vatican City State; The Holy See (-)

นครรัฐวาติกัน (-)

นครรัฐวาติกันเป็นประเทศอิสระที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก สถาปนาขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๒๙ มีสันตะปาปาเป็นประมุขที่มีอำนาจเด็ดขาดทั้งในด้านการบริหารนิติบัญญัติ และตุลาการ แม้ว่านครรัฐวาติกันจะมีประชากรไม่ถึง ๑,๐๐๐ คน แต่สันตะปาปาประมุขของรัฐก็ทรงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ และมีอิทธิพลอย่างสูงต่อผู้นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกทั่วโลกนับพันล้านคน

 นครรัฐวาติกันมีเนื้อที่ ๐.๔๔ ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เมืองหลวงคือ กรุงวาติกัน ใช้ภาษาอิตาลีและภาษาละตินเป็นภาษาราชการ มีประชากร ๘๐๑ คน (ค.ศ. ๒๐๒๐) ทั้งหมดนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

 นครรัฐวาติกันในปัจจุบันเป็นส่วนที่คงเหลืออยู่ของรัฐสันตะปาปา (Papal State) ซึ่งเป็นดินแดนกว้างใหญ่ใต้การปกครองของสันตะปาปาที่มีอำนาจทั้งทางศาสนจักรและอาณาจักร สันตะปาปาเริ่มมีบทบาทตั้งแต่ช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ ๔ เมื่อจักรวรรดิโรมัน (Roman Empire) ยอมรับคริสต์ศาสนา อีกทั้งเมื่อศูนย์กลางของอำนาจของจักรวรรดิโรมันตะวันตกได้ย้ายไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิลใน ค.ศ. ๓๓๐ มีผลให้ภาคตะวันตกของจักรวรรดิเสื่อมโทรมลง และบรรดาบิชอปในดินแดนส่วนนี้มีหน้าที่และอิทธิพลทางด้านการเมืองและการบริหารเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นอกเหนือจากอิทธิพลทางด้านศาสนา สันตะปาปาซึ่งขณะนั้นเป็นบิชอปแห่งโรมด้วยก็ทรงมีอิทธิพลมากขึ้นเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากจักรวรรดิโรมันตะวันตกเสื่อมสลายลงใน ค.ศ. ๔๗๖ และยุโรปเข้าสู่สมัยกลาง (Middle Ages) นั้น สันตะปาปาเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในการเป็นผู้นำทางสังคมและจิตใจของคริสต์ศาสนิกชนและมีฐานะเป็นเสมือนประมุขรัฐองค์หนึ่งในคาบสมุทรอิตาลีนอกจากนี้คำประกาศใน ค.ศ. ๓๒๑ของจักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantine ค.ศ. ๓๐๓–๓๓๗) ว่าโบสถ์คริสต์ศาสนาสามารถครอบครองทรัพย์สินและสืบมรดกได้เช่นเดียวกับคนธรรมดาหรือตระกูลทำให้ทรัพย์สินและดินแดนที่มีผู้ถวายให้โบสถ์และสันตะปาปาทบทวีขึ้นเป็นลำดับ เมื่อถึงสมัยราชวงศ์คาโรลินเจียน (Carolingian) สันตะปาปาก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นประมุขฝ่ายศาสนจักร อีกทั้งพระเจ้าเปแปงร่างเตี้ย (Pépin the Short ค.ศ. ๗๕๑–๗๖๘) และจักรพรรดิชาร์เลอมาญ (Charlemagne ค.ศ. ๘๐๐–๘๑๔) พระราชโอรสก็ทำการปราบแว่นแคว้นที่เป็นศัตรูของสันตะปาปาและถวายที่ดินให้พระองค์จนในที่สุดสันตะปาปาก็สามารถขยายอาณาเขตจนครอบคลุมดินแดนส่วนกลางของคาบสมุทรอิตาลีจากทะเลเอเดรียติกทางด้านตะวันออกไปจนจดทะเลติร์เรเนียน (Tyrrhenian) ทางด้านตะวันตก รวมเนื้อที่กว่า ๔๔,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร และมีพลเมืองมากกว่า ๓ ล้านคนในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙

 ในขณะที่คริสตจักรเรืองอำนาจในสมัยกลางนั้นสันตะปาปาทุกพระองค์ประทับณพระราชวังลาเทอรัน (Lateran Palace) ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณกรุงโรม ต่อมาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ เมื่อกษัตริย์ประเทศต่าง ๆ


สามารถตั้งตนเป็นใหญ่และจัดตั้งรัฐประชาชาติ (nation state) ได้ อำนาจของสันตะปาปาก็ถูกทำลายและความขัดแย้งระหว่างสันตะปาปากับกษัตริย์ก็ทวีขึ้นใน ค.ศ. ๑๓๐๓ พระเจ้าฟิลิปผู้ยุติธรรม (Philip the Fair ค.ศ. ๑๒๘๕–๑๓๑๔) แห่งฝรั่งเศสได้ส่งทหารเข้าจับกุมสันตะปาปาบอนนิเฟซที่ ๘ (Bonniface VIII ค.ศ. ๑๒๙๔–๑๓๐๓) ไปคุมขังซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดของสมัยการเรืองอำนาจของสันตะปาปาในสมัยกลางระหว่าง ค.ศ. ๑๓๐๕–๑๓๗๘ สันตะปาปาทุกพระองค์เป็นชาวฝรั่งเศสและถูกกษัตริย์ฝรั่งเศสบีบบังคับให้พำนักที่เมืองอาวีญง (Avignon) บนฝั่งแม่น้ำโรน (Rhône) ในฝรั่งเศส การเป็นนักโทษในเมืองอาวีญง ของสันตะปาปาหรือที่เรียกว่า “การคุมขัง ณ กรุงบาบิโลน” (The Babylonian Captivity) ได้ทำลายเกียรติภูมิของสถาบันสันตะปาปาเป็นอันมาก เพราะตำแหน่งประมุขของคริสตจักรกลายเป็นตำแหน่งที่ฝรั่งเศสมีอำนาจควบคุม ซึ่งทำให้บรรดาประเทศอื่น ๆ ที่เป็นศัตรูของฝรั่งเศส อันได้แก่ อังกฤษและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ต่อต้านสันตะปาปาแห่งเมืองอาวีญง

 ใน ค.ศ. ๑๓๗๘ สันตะปาปาเกรกอรีที่ ๑๑ (Gregory XI ค.ศ. ๑๓๗๐–๑๓๘๐) ทรงพยายามจะย้ายที่ทำการสันตะปาปากลับไปยังกรุงโรม แต่พระองค์ก็ด่วนสิ้นพระชนม์ในกรุงโรมนั่นเอง และก่อให้เกิด “มหาศาสนเภท” (The Great Schism) กล่าวคือ วิกฤตการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อฝูงชนชาวอิตาลีได้กดดันให้เลือกตั้งสันตะปาปาที่เป็นชาวอิตาลี ผลของการเลือกตั้งทำให้คาร์ดินัลชาวฝรั่งเศสไม่พอใจและเดินทางกลับ ต่อมาก็ได้เลือกสันตะปาปาชาวฝรั่งเศสเป็นประมุขของคริสตจักรที่เมืองอาวีญง ก่อให้เกิดสันตะปาปา ๒ สำนัก ๒ พระองค์ขึ้น และต่างก็ประกาศบัพพาชนียกรรม (excommunicate) ซึ่งกันและกันจึงเป็นที่มาของการเกิดมหาศาสนเภทซึ่งกินระยะเวลาระหว่าง ค.ศ. ๑๓๗๘–๑๔๑๗ ระหว่างนั้นก็มีการประชุมสภาศาสนาที่เมืองปีซา (Pisa) และเลือกสันตะปาปาพระองค์ใหม่ขึ้นใน ค.ศ. ๑๔๐๙ แต่สันตะปาปา ณ กรุงโรมและเมืองอาวีญงต่างไม่ยอมออกจากตำแหน่งทำให้เกิดสันตะปาปา ๓ สำนักซึ่งสร้างความสับสนให้แก่คริสต์ศาสนิกชนมากยิ่งขึ้น มหาศาสนเภทยุติลงด้วยมติของสภาศาสนาที่เมืองคอนสแตนซ์ (Constance) ใน ค.ศ. ๑๔๑๗ ซึ่งจัดการประชุมขึ้นตามพระราชโองการของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ประชุมได้เลือกสันตะปาปาพระองค์ใหม่คือสันตะปาปามาร์ตินที่ ๕ (Martin V ค.ศ. ๑๔๑๗–๑๔๓๑) เป็นประมุขแต่เพียงพระองค์เดียว นับแต่นั้นเป็นต้นมา สันตะปาปาก็เริ่มการปฏิรูปองค์กรคริสตจักรให้กลับมามีอำนาจและอิทธิพลดังเดิม รวมทั้งการเข้าไปมีอิทธิพลในดินแดนส่วนกลางของอิตาลีหรือรัฐสันตะปาปาอย่างแท้จริง

 ขณะเดียวกัน ในการฟื้นฟูพระเกียรติยศของสันตะปาปาก็ได้มีการปรับปรุงพระราชวังวาติกันให้มีความสง่างามสมกับเป็นที่ประทับของสันตะปาปาองค์ประมุขของคริสตจักรเนื่องจากพระราชวังลาเทอรันได้ถูกละทิ้งไปเป็นเวลากว่า ๗๐ ปี ในช่วงการคุมขัง ณ กรุงบาบิโลนจนชำรุดทรุดโทรมสันตะปาปาทรงเลือกพระราชวังวาติกันเป็นที่ประทับถาวรแทน พระราชวังวาติกันตั้งอยู่ทางทิศเหนือของโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าพระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยใดแต่เชื่อกันว่าน่าจะเริ่มสร้างในสมัยสันตะปาปาซิมมาคัส (Symmachus ค.ศ. ๔๙๘–๕๑๔) โดยในขั้นแรกตั้งพระทัยที่จะให้เป็นที่พักอาศัยง่าย ๆ สำหรับมาประทับในช่วงที่มีพิธีการที่โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ ได้มีการต่อเติมทั้งตัวอาคารและการตกแต่งภายในของพระราชวังวาติกันและบริเวณรอบ ๆ โดยเฉพาะนับแต่สมัยสันตะปาปาซิกซ์ตัสที่ ๔ (Sixtus IV ค.ศ. ๑๔๗๑–๑๔๘๔) เป็นต้นไปสันตะปาปาองค์ต่อ ๆ มาต่างชื่นชอบศิลปะของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ที่กำหนดรูปแบบของงานศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมให้มีความงดงามอลังการ ต่อมาใน ค.ศ. ๑๕๐๖ สันตะปาปาจูเลียสที่ ๒ (Julius II ค.ศ. ๑๕๐๓–๑๕๑๓) ก็ทรงมีบัญชาให้สร้างโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ขึ้นใหม่ซึ่งใช้เวลากว่า ๑๗๖ ปีจึงแล้วเสร็จ โดยมีความวิจิตรงดงามทั้งภายนอกและภายในซึ่งสร้างความสง่างามให้แก่บริเวณที่เป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกันให้เป็น “อาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์” (TheHolySee)ในเวลาต่อมาอย่างแท้จริง สันตะปาปาเกือบทุกพระองค์ก็ประทับอยู่ ณ พระราชวังวาติกัน (ยกเว้นช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗)และมีการเสริมสร้างต่อเติมทั้งตัวอาคารและการตกแต่งภายใน โดยระดมสถาปนิกและศิลปินที่โดดเด่นของแต่ละยุคสมัยทำงานจนพระราชวังมีขนาดใหญ่โตมโหฬารและงดงามดังปรากฏในปัจจุบัน

 ตอนกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ รัฐต่าง ๆ ในคาบสมุทรอิตาลีเคลื่อนไหวเพื่อรวมชาติอิตาลีสันตะปาปาไพอัสที่ ๙ (Piux IXค.ศ. ๑๘๔๖–๑๘๗๘)* ทรงเป็นความหวังของชาติอิตาลีในการเป็นผู้นำการรวมชาติ แต่พระองค์กลับทรงวางตัวเป็นกลางและเสด็จลี้ภัยออกจากกรุงโรมเพราะไม่ต้องการให้ชาวอิตาลีต่อสู้กับออสเตรียที่เป็นมหาอำนาจคาทอลิก เคานต์กามิลโล ดิ กาวัวร์ (Camillo di Cavour)* อัครมหาเสนาบดีแห่งราชอาณาจักรปีดมอนต์-ซาร์ดิเนีย (Piedmont-Sardinia)* จึงเห็นเป็นโอกาสดำเนินนโยบายทางการเมืองให้ราชอาณาจักรปีดมอนต์-ซาดีเนียมีบทบาทสำคัญในการรวมชาติจนสามารถจัดตั้งราชอาณาจักรอิตาลีขึ้นได้สำเร็จใน ค.ศ. ๑๘๖๑ หลังการรวมชาติรัฐสันตะปาปาซึ่งขณะนั้นครอบครองดินแดนถึง ๑ ใน ๓ ของคาบสมุทรอิตาลีได้จัดให้มีการลงประชามติเกี่ยวกับเรื่องนี้ผลปรากฏว่าประชาชนเลือกที่จะรวมเข้ากับราชอาณาจักรอิตาลีดินแดนในความปกครองของสันตะปาปาจึงเหลือเพียงกรุงโรมซึ่งได้รับการปกปักรักษาจากกองทหารฝรั่งเศสอย่างไรก็ดี เมื่อเกิดสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (Franco-Prussian War ค.ศ. ๑๘๗๐–๑๘๗๑)* ขึ้นใน ค.ศ. ๑๘๗๐ กองทหารฝรั่งเศสต้องถอนตัวออกจากกรุงโรม กองทัพของพระเจ้าวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่ ๒ (Victor Emmanuel II ค.ศ. ๑๘๖๑–๑๘๗๘)* ก็เข้ายึดกรุงโรมได้เป็นผลสำเร็จ และในต้น ค.ศ. ๑๘๗๑ ก็มีการย้ายเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลีจากฟลอเรนซ์มายังกรุงโรม

 สันตะปาปาไพอัสที่ ๙ ทรงเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของรัฐบาลอิตาลีเป็นเรื่องไม่ถูกต้องชอบธรรมจึงประท้วงด้วยการไม่ยอมให้ความร่วมมือใด ๆ กับรัฐบาลและจำกัดบริเวณพระองค์เองอยู่แต่ภายในพระราชวังวาติกันเท่านั้น สันตะปาปาองค์ต่อ ๆ มาอีก ๔ พระองค์ก็ดำเนินการประท้วงเช่นเดียวกันนี้ต่อมารวมทั้งสิ้นเป็นเวลาถึง๕๙ปีและเรียกตนเองว่า “นักโทษแห่งวาติกัน”ภาวการณ์ดังกล่าวสร้างความอึดอัดใจให้แก่รัฐบาลและประชาชนอิตาลี ตลอดจนคริสต์ศาสนิกชนคาทอลิกทั่วโลกเป็นอย่างมากทั้งยังเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของราชอาณาจักรอิตาลีที่เพิ่งเกิดใหม่อีกด้วย

 ในทศวรรษ ๑๙๒๐ เบนีโต มุสโสลีนี (Benito Mussolini)* ผู้นำรัฐบาลฟาสซิสต์ของอิตาลีในขณะนั้นได้พยายามคลี่คลายความขัดแย้งซึ่งเรียกกันว่า ปัญหากรุงโรม (Roman Question)* ที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน โดยโน้มน้าวให้สันตะปาปาไพอัสที่ ๑๑ (Pius XI ค.ศ. ๑๙๒๒–๑๙๓๙)* ทรงยินยอมเปิดการเจรจากับรัฐบาลเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๒๖ การเจรจาดำเนินไปเป็นเวลา ๒ ปีจึงบรรลุข้อตกลงมุสโสลีนีในฐานะผู้แทนของพระเจ้าวิกเตอร์เอมมานูเอลที่ ๒ กับคาร์ดินัลปีเอโตร กัสปารี (Pietro Gaspari) ผู้แทนองค์สันตะปาปา ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาลาเทอรัน (Lateran Treaty)* เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๒๙ และต่อมาได้มีการให้สัตยาบันเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ปีเดียวกัน

 สนธิสัญญาลาเทอรันหรือที่เรียกกันว่า ความตกลงระหว่างสันตะปาปากับรัฐบาล ค.ศ. ๑๙๒๙ (Concordat 1929)* นอกจากจะกำหนดให้รัฐบาลอิตาลีจ่ายค่าทดแทนให้แก่คริสต์ศาสนจักรโรมันคาทอลิกเป็นจำนวน ๑,๗๕๐ ล้านลีร์ เพื่อเป็นการชดเชยสำหรับดินแดนที่สันตะปาปาต้องสูญเสียไปเมื่อมีการรวมชาติอิตาลีใน ค.ศ. ๑๘๗๐ ยังให้การรับรองสถานภาพของนครรัฐวาติกันว่าเป็นประเทศอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์ รวมทั้งกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอิตาลีกับคริสต์ศาสนจักรโรมันคาทอลิกไว้อย่างชัดเจนด้วย หลังการให้สัตยาบันสนธิสัญญานี้แล้ว รัฐบาลอิตาลีก็ชำระค่าชดเชยเป็นเงินสดจำนวน ๗๕๐ ล้านลีร์ส่วนที่เหลืออีก๑พันล้านลีร์ชำระเป็นพันธบัตรรัฐบาลชนิดมีดอกเบี้ยร้อยละ ๕ นอกจากนี้ยังซ่อมสร้างถนนสายที่ทอดจากโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ไปยังกรุงโรม และให้ชื่อว่า ถนนแห่งการประนีประนอม (La Via della Conciliazione)

 ตามสนธิสัญญาลาเทอรันรัฐบาลอิตาลียังยินยอมให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตและยกเว้นภาษีให้แก่บริเวณและสถานที่๑๓แห่งซึ่งมีทั้งโบสถ์วังที่พักอาศัยอาคารที่ทำการ และสถาบันการศึกษา เกือบทั้งหมดตั้งอยู่ในกรุงโรม ยกเว้นปราสาทกันดอร์โฟ (Castel Gandorfo) ที่ประทับฤดูร้อนของสันตะปาปา ซึ่งตั้งอยู่บนเนินอัลบัน (Alban Hills) ห่างจากกรุงโรมประมาณ ๒๐ กิโลเมตร สถานที่เหล่านี้บางแห่งมีป้ายสัญลักษณ์ประจำตำแหน่งสันตะปาปารูปมงกุฎสันตะปาปาเหนือกุญแจไขว้เป็นรูปกากบาทติดไว้ที่ด้านหน้าให้สังเกตเห็นได้

 อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างนครรัฐวาติกันกับรัฐบาลฟาสซิสต์ก็มิได้ดำเนินไปอย่างราบรื่นนัก ใน ค.ศ. ๑๙๓๑ อิตาลีได้สั่งยุบองค์กรเยาวชนคาทอลิกต่าง ๆ ต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๓๓ สันตะปาปาไพอัสที่ ๑๑ ทรงพยายามจะสร้างไมตรีและประนีประนอมกับรัฐบาลนาซีเยอรมันซึ่งเป็นมิตรกับอิตาลี โดยตกลงลงนามในความตกลงระหว่างสันตะปาปากับรัฐบาล ค.ศ. ๑๙๓๓ (Concordat 1933)* ซึ่งขณะนั้นมีนโยบายต่อต้านสถาบันศาสนาเพราะถือว่าเป็นคู่แข่งทางการเมืองที่สามารถดึงดูดความจงรักภักดีของประชาชนที่มีต่อรัฐไปได้ ในเวลาอันสั้น รัฐบาลนาซีเยอรมันก็เริ่มละเมิดข้อตกลงและเข้าแทรกแซงการทำงานของคริสตจักรในด้านต่างๆซึ่งทำให้สันตะปาปาไพอัสที่ ๑๑ ทรงประกาศประณามรัฐบาลนาซีเยอรมันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ (Second World War)* แม้เยอรมนียังคงดำเนินมาตรการต่อต้านคริสตจักร แต่อาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ก็ดำเนินนโยบายเป็นกลางและไม่ยอมเข้ากับฝ่ายอิตาลีที่ปรับเปลี่ยนนโยบายและเข้ารบเป็นฝ่ายเยอรมนีใน ค.ศ. ๑๙๔๐ ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๙๔๓ เมื่อเยอรมนีเข้ายึดครองกรุงโรม เจ้าหน้าที่นครรัฐวาติกันและคริสต์ศาสนิกชนต่างพยายามป้องกันความเสียหายของนครรัฐวาติกันจากคู่สงคราม ในปลายสงครามใน ค.ศ. ๑๙๔๕ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์พยายามที่จะโน้มน้าวให้เยอรมนีและญี่ปุ่นยอมแพ้แต่ล้มเหลว

 หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ นครรัฐวาติกันก็เริ่มดำเนินนโยบายสร้างความปรองดองและประนีประนอมกับสังคมฝ่ายฆราวาสยิ่งขึ้น ในทศวรรษ ๑๙๕๐ สันตะปาปาไพอัสที่ ๑๒ (Pius XII ค.ศ. ๑๙๓๙–๑๙๕๘)* ทรงยอมรับแนวคิดและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่กับการใช้ชีวิตประจำวันของคริสต์ศาสนิกชนและคริสตจักรต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๘๔ คริสตจักรก็ประสบความสำเร็จในการทำความตกลงระหว่างสันตะปาปากับรัฐบาลอิตาลีในการปรับแก้ข้อตกลงในสนธิสัญญาต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ ที่สำคัญคือ รัฐบาลอิตาลียอมรับให้นิกายโรมันคาทอลิกเป็นศาสนาประจำชาติอิตาลี ในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๘๔ อาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ก็ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูและสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาหลังจากที่ตัดขาดความสัมพันธ์กันไปใน ค.ศ. ๑๘๖๗ นับแต่ทศวรรษ ๑๙๙๐ เป็นต้นมา นครรัฐวาติกันก็พยายามเข้าไปมีบทบาททางการเมืองระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น มีการทำข้อตกลงเบื้องต้นกับรัฐบาลอิสราเอล และสันตะปาปา จอห์น ปอลที่ ๒ (John Paul II ค.ศ. ๑๙๗๘–๒๐๐๕)* ก็เสด็จเยือนประเทศต่าง ๆ และทรงมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างขบวนการโซลิดาริตี (Solidarity) กับรัฐบาลโปแลนด์ในปลายทศวรรษ ๑๙๘๐ นอกจากนี้มีการปรับแก้กฎเกณฑ์ต่างๆของคริสตจักรให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อก้าวให้ทันโลกในยุคโลกาภิวัตน์และสามารถรักษาศรัทธาและความเลื่อมใสของคริสต์ศาสนิกชนคาทอลิกที่มีมากกว่าพันล้านคนทั่วโลก

 แม้ว่านครรัฐวาติกันจะมีพื้นที่เพียงไม่ถึง ๑ตารางกิโลเมตร และไม่มีผลผลิตใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางการเกษตรหรืออุตสาหกรรม แต่ในด้านเศรษฐกิจนครรัฐวาติกันได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากผู้นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกทั่วโลก และมีรายได้จากการลงทุนและอสังหาริมทรัพย์อีกจำนวนมาก นอกเหนือจากรายได้จากการท่องเที่ยว เช่น ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ การขายของที่ระลึก และสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ อุตสาหกรรมภายในประเทศมีเพียงการผลิตสิ่งพิมพ์ การตัดเย็บเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ และการทำกระเบื้องโมเสกจำนวนไม่มากนัก ส่วนวัสดุอุปกรณ์เครื่องใช้ อาหารการกิน ตลอดจนสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา ก๊าซ ล้วนต้องนำเข้าจากอิตาลีทั้งสิ้นอย่างไรก็ดี วาติกันก็มีระบบการไปรษณีย์โทรเลขของตนเอง รวมทั้งพิมพ์ดวงตราไปรษณียากรซึ่งมีสีสันและรูปภาพสวยงามเป็นที่นิยมของนักสะสมทั่วโลกและทำรายได้ให้ประเทศจำนวนมาก มีระบบโทรศัพท์ ช่องส่งสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม รวมทั้งเว็บไซต์และโดเมนในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นของตนเองสถานีวิทยุวาติกัน (Radio Vatican) เป็นสถานีวิทยุที่มีผู้รับฟังมากที่สุดในยุโรป ส่วนหนังสือพิมพ์ L’ Observatore Romano ซึ่งตีพิมพ์โดยเอกชนก็มีผู้ติดตามอ่านจำนวนมาก เพราะเชื่อกันว่าข่าวสารที่ตีพิมพ์สะท้อนความคิดเห็นของสันตะปาปาเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของโลก หนังสือพิมพ์ดังกล่าวตีพิมพ์หลายภาษา ฉบับภาษาอิตาลีออกเป็นประจำทุกวัน ส่วนภาษาอังกฤษ สเปน โปรตุเกส เยอรมันและฝรั่งเศสออกเป็นรายสัปดาห์ และยังมีฉบับภาษาโปลที่ออกเป็นรายเดือนอีกด้วย วาติกันยังผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นใช้เองซึ่งปัจจุบันเงินเหรียญวาติกันระบุค่าเป็นยูโร ธนาคารของนครรัฐวาติกันติดตั้งเครื่องฝากถอนเงินสดอัตโนมัติหรือเอทีเอ็มซึ่งเป็นเครื่องเดียวในโลกที่ใช้ภาษาละติน ในด้านการคมนาคม วาติกันไม่มีสนามบินแต่มีที่จอดเฮลิคอปเตอร์ ๑ แห่ง และทางรถไฟยาว ๘๕๒ เมตรเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟหินอ่อนของวาติกันกับสถานีเซนต์ปีเตอร์ของกรุงโรม


แต่ปรกติแล้วทางรถไฟนี้ใช้เพื่อการขนส่งสินค้าเท่านั้น

 จุดเด่นของนครรัฐวาติกันคือ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ โบสถ์คริสต์ศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกเชื่อกันว่าที่ตั้งของ โบสถ์เป็นที่ที่เซนต์ปีเตอร์ อัครสาวกของพระเยซูถูกจับตรึงกางเขนและฝังไว้ (เมื่อไม่นานมานี้มีการขุดค้นและพบหลุมฝังศพที่มีกระดูกเหลืออยู่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าเป็นของเซนต์ปีเตอร์) ในคริสต์ศตวรรษที่ ๔ จักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งจักรวรรดิโรมันได้โปรดให้สร้างขึ้น โบสถ์ในปัจจุบันซึ่งสร้างอย่างงดงามด้วยศิลปะแบบเรอเนซองซ์ (Renaissance) โดยมีสถาปนิกและศิลปินหลายคนรับช่วงงานต่อกันมา เช่น บรามันเต (Bramante) ผู้ออกแบบวางผังคนแรกราฟาเอล (Raphael) มีเกลันเจโล (Michaelangelo) ซึ่งเป็นผู้ออกแบบก่อสร้างหลังคารูปโดมของโบสถ์แบร์นินี (Bernini) ภายในโบสถ์ตกแต่งด้วยหินอ่อนกระเบื้องโมเสก ภาพเขียนปูนเปียกทั้งตามฝาผนังและเพดาน ตลอดจนรูปปั้นรูปแกะสลักที่งดงามมากมายงานศิลปะที่ได้รับการกล่าวขวัญและชื่นชมมาก ได้แก่


รูปสลักหินอ่อนปีเอตา (La Pieta) ฝีมือมีเกลันเจโลซึ่งเป็นรูปพระแม่มารีโอบอุ้มร่างพระเยซูไว้บนตัก และเก้าอี้เซนต์ปีเตอร์ (The Chair of Saint Peter) ผลงานออกแบบซุ้มแท่นบูชาศิลปะแบบบาโรก (baroque) ของแบร์นินี โบสถ์เซนต์ปีเตอร์เป็นที่ฝังพระศพนักบุญสันตะปาปา กษัตริย์ พระราชินี และเจ้าชายหลายพระองค์ ด้านหน้าโบสถ์คือจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ลักษณะเป็นลานรูปวงรี ล้อมด้วยระเบียงทางเดินคล้ายศาลารายที่มีเสากลมเรียงเป็นแนวรวมทั้งหมด ๒๘๐ ต้น ระเบียงทางเดินนี้นับเป็นผลงานชิ้นเอกของแบร์นินีที่สร้างความสง่างามสมบูรณ์แบบให้แก่ตัวโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ มีผู้เปรียบว่าแนวระเบียงรูปโค้งครึ่งวงกลมที่โอบยื่นออกไปทั้ง ๒ ด้านนี้เป็นประดุจสองแขนที่อ้าออกต้อนรับมนุษยชาติทุกผู้ทุกคนเข้าสู่อ้อมกอดเดียวกัน

 ส่วนพระราชวังวาติกันซึ่งปัจจุบันเป็นที่ประทับและที่ต้อนรับบุคคลสำคัญที่มาเยือนของสันตะปาปา ตัวอาคารมีผังเป็นรูปคล้ายอักษรแอล (L) ขนาดใหญ่จัตุรัสหน้าโบสถ์เซนต์ปีเตอร์กินเนื้อที่ถึง ๕๔,๖๓๕.๕ ตารางเมตร มีห้องประมาณ ๑,๐๐๐ ห้อง บางส่วนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บสะสมศิลปสมบัติสมัยต่างๆตั้งแต่อียิปต์กรีกอีทรัสกันโรมันสมัยกลาง สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา จนถึงสมัยใหม่ ห้องแสดงภาพ ห้องสะสมแผนที่ จารึก และห้องสมุด ห้องสมุดของวาติกันก่อตั้งมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ นับว่าเป็นห้องสมุดสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปปัจจุบันมีหนังสือมากกว่า ๑ ล้านเล่ม หนังสือตัวเขียน (manuscript) ประมาณ ๙๐๐,๐๐๐ เล่ม และหนังสือตัวพิมพ์รุ่นแรกอีกประมาณ ๗,๐๐๐ เล่ม

 ส่วนของพระราชวังวาติกันด้านที่ติดกับโบสถ์เซนต์ปีเตอร์คือ วิหารซิสทีน (Sistine Chapel) ซึ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๑๓ เมตร ยาว ๔๐ เมตร สูง ๒๐ เมตร เริ่มสร้างใน ค.ศ. ๑๔๗๓ ตามพระบัญชาของสันตะปาปาซิกซ์ตัสที่ ๔ แล้วเสร็จใน ค.ศ. ๑๔๘๐ วิหารเล็กๆนี้ นอกจากจะเป็นที่ประกอบพิธีที่สำคัญยิ่ง คือ การเลือกตั้งสันตะปาปาแล้วยังเป็นจุดดึงดูดผู้สนใจงานศิลปะจากทุกมุมโลก เนื่องจากทั่วทั้งผนังและเพดานของวิหารล้วนเป็นภาพเขียนสีปูนเปียก (fresco) แสดงภาพเหตุการณ์จากคัมภีร์ไบเบิลทั้งภาคพันธสัญญาเดิมและภาคพันธสัญญาใหม่โดยศิลปินเอกหลายคนและจากหลายสมัย ทุกภาพล้วนงดงามและยิ่งใหญ่จนประมาณค่ามิได้ โดยเฉพาะภาพเขียนฝีมือมีเกลันเจโลบนเพดานวิหารที่แสดงภาพการก่อกำเนิด (The Creation) โดยเรียงลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่การแบ่งแยกความมืดและความสว่าง การสร้างดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ และพืชพรรณ การสร้างมนุษย์การขับอาดัมและอีฟจากสวนสวรรค์ จนถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลกและภาพการพิพากษาครั้งสุดท้าย (The Last Judgment) ที่อยู่บนผนังด้านหลังแท่นบูชา

 นครรัฐวาติกันนอกจากจะมีฐานะเป็นประเทศเช่นเดียวกับประเทศอธิปไตยทั่วไปแล้ว ยังมีอีกสถานภาพหนึ่งคือเป็นศูนย์กลางการปกครองของคริสต์ศาสนจักรโรมันคาทอลิกจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ สันตะปาปาทรงเป็นประมุขที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองทั้งทางอาณาจักรและศาสนจักร รวมทั้งเป็นผู้แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทุกตำแหน่ง สันตะปาปาเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้ง โดยมีวาระตลอดพระชนม์ชีพ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งสันตะปาปาต้องเป็นคาร์ดินัลที่มีอายุต่ำกว่า ๘๐ ปี ที่มาประชุมกันเพื่อการนี้ ณ วิหารซิสทีนการเลือกตั้งใช้วิธีให้ผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดเขียนชื่อผู้ที่ตนเห็นสมควรดำรงตำแหน่งสันตะปาปาลงในกระดาษมอบให้ประธานการเลือกตั้ง ผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงสนันสนุนมากกว่า ๒ ใน ๓ ของผู้มาประชุมและตอบรับว่าจะดำรงตำแหน่งจะเป็นสันตะปาปาพระองค์ใหม่อย่างเป็นทางการในทันที แต่หากไม่มีผู้ได้คะแนนเสียงถึงเกณฑ์ที่กำหนด หรือมีผู้ได้รับคะแนนเสียงแต่ปฏิเสธการรับตำแหน่ง ก็จะต้องดำเนินการเลือกตั้งใหม่ตามวิธีเดิม ระหว่างการเลือกตั้งนี้คาร์ดินัลที่มาประชุมทุกท่านจะต้องอยู่ภายในห้องประชุมที่ปิดสนิทไม่สามารถออกมาได้จนกว่าการเลือกตั้งจะเสร็จสิ้นจากนั้นสันตะปาปาองค์ใหม่จะออกมาปรากฏพระองค์ต่อหน้าคริสต์ศาสนิกชนคาทอลิกที่มารอเฝ้าอยู่ที่ลานโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ในเครื่องแต่งกายประจำตำแหน่งสันตะปาปาเพื่อประทานพร การเลือกตั้งครั้งล่าสุดกระทำเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ค.ศ. ๒๐๐๕ หลังการสิ้นพระชนม์ของสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ ๒ ผู้ได้รับเลือกคือคาร์ดินัลโยเซฟรัทซิงเงอร์(Joseph Ratzinger) ชาวเยอรมันและทรงใช้พระนามสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ ๑๖ (Benedict XVI)

 สันตะปาปาทรงบริหารกิจการภายในนครรัฐผ่านทางผู้ว่าการ (Governor) ซึ่งทำหน้าที่เสมือนหัวหน้าคณะรัฐบาลส่วน “คณะรัฐมนตรี” คือคณะกรรมาธิการของสันตะปาปา (Pontifical Commission for the State of Vatican City) ซึ่งอยู่ในตำแหน่งวาระละ ๕ ปี ส่วนการบริหารคริสต์ศาสนจักรนั้นทรงดำเนินการผ่านทางสภาบริหารที่เรียกว่า สำนักงานบริหารศาสนจักรส่วนกลาง (Roman Curia) มีเลขาธิการแห่งรัฐ (Secretary of State) เป็นประธาน สภานี้ประกอบด้วยสภาย่อยที่มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะด้าน เช่น สภากิจการบิชอป (Congregation for Bishops) มีหน้าที่ประสานงานด้านการแต่งตั้งบิชอปทั่วโลกสภาเผยแผ่คริสต์ศาสนา (Congregation for the Evangelization of People)ทำหน้าที่ควบคุมดูแลงานของมิชชันนารีทั้งหมด สภาแห่งสันตะปาปาว่าด้วยความยุติธรรมและสันติภาพ (Pontifical Council for Justice and Peace) มีหน้าที่เกี่ยวกับการสนับสนุนสันติภาพของโลก รวมทั้งงานด้านสังคมต่าง ๆ

 เลขาธิการแห่งรัฐยังมีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านการต่างประเทศด้วยเนื่องจากความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่าง ๆ กระทำในนามอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์มิใช่นครรัฐวาติกัน การแลกเปลี่ยนผู้แทนทางการทูตเช่นนี้เริ่มมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ในปัจจุบันมีทูตานุทูตจากนานาประเทศมากกว่า ๑๗๐ ประเทศรวมทั้งสหภาพยุโรป (European Union) ประจำนครรัฐวาติกัน อย่างไรก็ดี มีบางประเทศใช้วิธีถวายสาส์นตราตั้งสองประเทศ (dual accreditation) โดยถวายต่อสันตะปาปาและประมุขของอีกประเทศหนึ่งแต่ต้องไม่ใช่ประเทศอิตาลี ทั้งนี้เพราะนครรัฐวาติกันไม่ยอมรับการถวายสาส์นตราตั้งสองประเทศจากทูตที่มาประจำประเทศอิตาลี อย่างไรก็ดี เนื่องจากพื้นที่อันจำกัดของวาติกันทำให้สถานทูตของทุกประเทศต้องตั้งอยู่ในกรุงโรมส่วนที่เป็นดินแดนของอิตาลีรวมทั้งสถานทูตของอิตาลีเองด้วย ส่วนอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ก็ส่งอัครสมณทูต (nuncio–มีฐานะเทียบเท่าเอกอัครราชทูต) และสมณทูต (internuncio – เทียบเท่าอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็ม)ไปประจำประเทศต่างๆรวม ๑๐๖ ประเทศ นอกจากนี้ วาติกันยังมีความสัมพันธ์กับองค์การระหว่างประเทศหลายแห่งทั้งในฐานะสมาชิกและผู้สังเกตการณ์ ใน ค.ศ. ๒๐๐๓ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่สหรัฐอเมริกาบุกโจมตีอิรัก อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ก็แสดงบทบาทผู้รักสันติโดยการส่งคาร์ดินัล โรเช เอเชอกาแร (Roger Etchegaray) รองประธานคณะคาร์ดินัล (Vice-Dean of the College of Cardinals) ซึ่งเป็นคาร์ดินัลที่มีชื่อเสียงเป็นทูตไปเจรจายังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อโน้มน้าวให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกายุติการก่อสงคราม

 ในปัจุจบันประชากรที่พำนักอยู่ในวาติกันมีจำนวนไม่ถึง ๑,๐๐๐ คน (ค.ศ. ๒๐๒๐) ส่วนใหญ่เป็นนักบวชทั้งผู้มีสมณศักดิ์บาทหลวงทั่วไปและแม่ชีบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ถือสัญชาติวาติกันทั้งหมด ในปลาย ค.ศ. ๒๐๐๓ มีผู้ถือสัญชาติวาติกันเพียง ๕๕๒ คน ส่วนใหญ่จะมี ๒ สัญชาติ คือถือสัญชาติเดิมของตนไปพร้อม ๆ กับสัญชาติวาติกัน ส่วนเจ้าหน้าที่และคนงานที่ปฏิบัติงานต่าง ๆ ที่เป็นฆราวาสอีกประมาณ ๓,๐๐๐ คน มีที่พำนักอาศัยอยู่ในกรุงโรม มาตรฐานการครองชีพและรายได้ของประชากรที่เป็นฆราวาสเหล่านี้เท่าเทียมกับบุคคลที่มีอาชีพและสถานภาพเดียวกันในประเทศอิตาลี อย่างไรก็ดี การที่วาติกันมีประชากรน้อยมากแต่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมเยือนปีละหลายล้านคนทำให้สถิติอาชญากรรมต่อจำนวนประชากรของที่นี่สูงที่สุดในโลกและสูงกว่าของประเทศอิตาลีถึง ๒๐ เท่า ส่วนใหญ่เป็นการฉกชิงวิ่งราวและล้วงกระเป๋า ร้อยละ ๙๐ ยังไม่สามารถจับตัวผู้กระทำผิดได้ นครรัฐวาติกันมีกำลังรักษาความปลอดภัย (securitycorps) ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยทั่วไป และยังมีกองทหารองครักษ์สันตะปาปาซึ่งเป็นทหารอาสาสมัครชาวสวิสในเครื่องแบบสีทอง น้ำเงินสด และแดง ดูโดดเด่นสะดุดตา กล่าวกันว่ามีเกลันเจโล ศิลปินเอกของอิตาลีสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาเป็นผู้ออกแบบ นับเป็นเครื่องแบบทหารที่สร้างสีสันและความโดดเด่นอีกประการหนึ่งให้แก่นครรัฐที่เล็กที่สุดแห่งนี้ของโลก.



คำตั้ง
Vatican City State; The Holy See
คำเทียบ
นครรัฐวาติกัน
คำสำคัญ
- การคุมขัง ณ กรุงบาบิโลน
- การรวมชาติอิตาลี
- ขบวนการโซลิดาริตี
- ความตกลงระหว่างสันตะปาปากับรัฐบาล ค.ศ. ๑๙๒๙
- ความตกลงระหว่างสันตะปาปากับรัฐบาล ค.ศ. ๑๙๓๓
- จอห์น ปอลที่ ๒, สันตะปาปา
- โซลิดาริตี
- นาซี
- ปัญหากรุงโรม
- มหาศาสนเภท
- มุสโสลีนี, เบนีโต
- รัฐประชาชาติ
- สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย
- สงครามโลกครั้งที่ ๒
- สนธิสัญญาลาเทอรัน
- สหภาพยุโรป
- อาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์
ช่วงเวลาระบุเป็นคริสต์ศักราช
-
ช่วงเวลาระบุเป็นพุทธศักราช
-
มัลติมีเดียประกอบ
-
ผู้เขียนคำอธิบาย
เพ็ญแข คุณาเจริญ
บรรณานุกรมคำตั้ง
แหล่งอ้างอิง
-